คำถามที่พบบ่อย
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือกลุ่ม CP ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 85 ตามด้วยผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนร้อยละ 15
- บริษัทคาดว่าในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนการขายนอกร้านคิดเป็นร้อยละ 25 ของยอดขายทั้งหมด
- โดยปี 2566 ยอดขาย Omnichannel คิดเป็นร้อยละ 13 ของยอดขายทั้งหมด
ในปี 2567 คาดว่าบริษัทจะมีแผนการลงทุนอยู่ประมาณร้อยละ 40 ของ กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) โดยจะใช้ในการดำเนินงานตามปกติของ ทั้งนี้ หากมีโครงการหรือแผนการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เร็ว บริษัทอาจมีการขออนุมัติพิเศษจากคณะกรรมการเพิ่มเติม
- อัตราเช่าการพื้นที่เช่าปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์จะกลับมาเทียบเท่าก่อนการแพร่ระบาดโควิดในปี 2567
- บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีแผนขยายพื้นที่เช่าในสาขาเดิมโดยรูปแบบการตกแต่งและสินค้าต่าง ๆ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น นอกจากนั้นก็จะมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจต่าง ๆ ในร้านค้าด้วย โดยเพิ่มสินค้าบริโภคที่สรรหามาจากทั้งในและต่างประเทศให้มีความหลากหลาย สร้างความแตกต่างด้วยสินค้าอาหารแช่แข็ง เพิ่มความสดใส ความทันสมัย และความหลากหลาย ในกลุ่มสินค้าอุปโภค ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในส่วนของร้านค้าเช่า ก็จะมีการเพิ่มร้านค้าใหม่ ๆ ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้เวลา และจับจ่ายในร้านค้าให้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ค่าเช่าและรายได้จากการให้บริการศูนย์การค้าให้มีแนวโน้วดีขึ้น โดยคาดว่าในอีก 3 - 5 ปีจะมีพื้นที่เช่าจากการปรับปรุงสาขาเดิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากปี 2565
หากไม่มีความจำเป็นอื่นใด คณะกรรมการบริษัทฯ มีนโยบายที่จะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ แก่ผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิที่หักภาษีเงินได้แล้วในแต่ละปี ตามงบการเงินรวมโดยเริ่มจากผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นไป
เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาค รวมถึงเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าจากความหลากหลายของสินค้าและบริการในราคาที่คุ้มค่า จากการฐานข้อมูลรวมที่เพิ่มข้ึน ประกอบการใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากขึ้นภายใต้ กรอบกฎหมาย นำไปสู่การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งในประเทศไทยและระดับภูมิภาค
เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ จากการบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่ง รวมถึง
- การใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ร่วมกันอย่างเต็มศักยภาพ ตลอดจนลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ร้านค้า คลังสินค้า และระบบการจัดส่งสินค้า เป็นต้น ส่งผลให้โครงสร้างองค์กรมีประสิทธิภาพ และเพ่ิม โอกาสในการสร้างผลตอบแทนของบริษัทใหม่ในระยะยาว
- การผสานความเชี่ยวชาญของบุคลากรในส่วนธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก รวมถึงสนับสนุนการใช้ทรัพยากรบุคคล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถดำรงสถานะการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และ ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจในระดับภูมิภาคต่อไป
สร้างมูลค่าเพิ่มจากการผนึกกำลังทางธุรกิจ (Synergy) ทั้งในด้านสินค้าและบริการ การทำกิจกรรมทางการ ตลาด และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้แก่บริษัทใหม่ เช่น การบริหาร จัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงการสื่อสารภาพลักษณ์องค์กรกับกลุ่มลูกค้า เป็นต้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงิน ทั้งในด้านการบริหารกระแสเงินสด การวางแผนและการ จัดหาเงินลงทุนภายใต้บริษัทใหม่
สนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้ผลิตรายย่อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยมุ่งมั่นในการ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับสินค้าและการบริหาร จัดการธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการภายในประเทศมีการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ
อัตราการจัดสรรหุ้นสามัญของบริษัทใหม่ที่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ได้รับ
รายละเอียด | จำนวนหุ้นสามัญ (หุ้น) |
---|---|
จำนวนหุ้นสามัญของ CPAXT (หุ้น) - (1) | 10,580,323,500 |
จำนวนหุ้นของบริษัทใหม่ (หุ้น) - (2) | 10,427,661,780 |
อัตราการจัดสรรหุ้นโดยนัย - (3) = (2) ÷ (1) (1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทใหม่ โดยประมาณ) | 0.9856 |
จากการคำนวณข้างต้น ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ จะได้รับจัดสรรหุ้นสามัญของบริษัทใหม่ตามอัตราส่วนการจัดสรรหุ้นภายหลังการควบรวมบริษัท ทั้งนี้ 1 หุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ต่อ 0.9856 หุ้นสามัญของบริษัทใหม่ โดยประมาณ